ทรงปรับปรุงการปกครองเป็นมณฑลต่าง ๆ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายตัวเมืองกลับไปอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ โดยย้ายศาลากลางจังหวัดมาอยู่รวมกันกับศาลาว่าการมณฑลทางฝั่งขวา ส่วนเมืองเก่าบนฝั่งซ้ายก็คงเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเจ้าเมืองกรมการเก่าๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้มีการจัดตั้งกองทหารบกตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อสะดวกในการวางกำลังไว้ตามพื้นที่ ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ จึงได้ย้ายกองบัญชาการกองพลทหารบกที่ ๔ และกรมทหารบกที่ ๔ จากสวนดุสิต มาตั้งอยู่ในกำแพงเมืองราชบุรีบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลองอันเป็นที่ตั้งของค่ายทหารในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น " นายทหารพิเศษ " อยู่ในกรมทหารหน้า อันเป็นต้นรากของกรมทหารบกราบที่ ๔ ราชบุรี มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๒๑ ทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารบกราบที่ ๔ ค่ายทหารราชบุรี พระองค์ทรงทำนุบำรุงหน่วยให้เจริญก้าวหน้ามากมาย ทำให้ทหารมีโรงกินอยู่หลับนอนสะดวกสบาย ทันสมัยและ ได้ทรงมีความอุตสาหะเสด็จมาฉลองโล่ และ พระราชทานพระราโชวาทด้วยพระองค์เองเกือบทุกปี เว้นแต่ปีที่มีพระราชภาระอย่างอื่นมาขัดขวางจนกระทั่งเสด็จทิวงคต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ ซึ่งรวมเวลาที่ทรงเป็นนายทหารผู้ใหญ่อยู่ในกรมนี้ถึง ๕๐ ปีเต็ม
จึงเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่ได้ขอพระราชทานนามค่ายทหารราชบุรีแห่งนี้ว่า " ค่ายภาณุรังษี " เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๗ เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับพระองค์ผู้ทรงเป็นอุปถัมภก หน่วยทหารในค่ายนี้มาเป็นเวลานาน .......... (รายละเอียดเพิ่มเติม... )
จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ประสูตรเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๒ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ทรงเป็นพระราชอนุชาร่วมพระราชชนนี กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสกสมรสกับ แม้น บุนนาค บุตรีเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒนพิพัฒนศักดิ์ ( วร บุนนาค )
การศึกษา - ทรงเล่าเรียนหนังสือเบื้องต้นจากสำนักครูผู้หญิงในตำหนักหลังนอกของพระบรมมหาราชวัง พ.ศ.๒๔๐๙
- เรียนภาษาขอมและบาลีจากสำนักพระยาปริยัติธาดา เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๔
- ทรงเล่าเรียนวิชาทหาร ในสำนักกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๕
- ทรงเรียนภาษาอังกฤษในสำนักมิสเตอร์ ฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สัน แห่งโรงเรียน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖
ตำแหน่งหน้าที่ และศักดิ์
- พ.ศ.๒๔๑๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารพิเศษ (นายร้อยโท)
- พ.ศ.๒๔๑๘ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นนายพันโท (ยศพิเศษ) ,เมื่อพระชนม์พรรษา ๒๐ ปี ทรงเป็นนายทหารพิเศษในกรมทหารหน้าแต่งเครื่องแบบยศนายพันเอก ,ในปีต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บังคับกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์มียศเป็นนายพันโทแต่งพระองค์ได้เหล่าทหารราบ และทหารม้า
- พ.ศ.๒๔๒๐ อธิบดีกรมล้อมวัง บังคับบัญชากรมทหารมหาดเล็ก
- พ.ศ.๒๔๒๑ นายทหารพิเศษ ในกรมทหารม้า
- พ.ศ.๒๔๒๒ ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็ก
- พ.ศ.๒๔๓๐ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บังคับราชการทั่วไป และได้รับพระราชทานสัญญาบัตรยศทหารเป็นนายพันเอกทหารบก
- พ.ศ.๒๔๓๒ นายพันเอก
- พ.ศ.๒๔๓๓ เสนาบดีว่าการกระทรวงยุทธนาธิการ
- พ.ศ.๒๔๓๕ - ๒๔๓๙ และ พ.ศ.๒๔๔๒ - ๒๔๔๔ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
- พ.ศ.๒๔๔๔ ทรงได้รับตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และได้ทรงเป็นผู้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาทหารเรือเพิ่มขึ้นในหน้าที่เสนาบดีกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง
- พ.ศ.๒๔๔๕ ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ (ถึงปี ๒๔๔๖ ทรงพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ)
- พ.ศ.๒๔๔๖ นายพลเรือเอก
- พ.ศ.๒๔๕๓ ทรงได้รับตำแหน่งจอมพลทหารบก กับดำรงตำแหน่งจเรทัพบกอีกตำแหน่งหนึ่ง
- พ.ศ.๒๔๕๔ ได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเลื่อนเป็นกรมพระยา และให้ทรงเป็นธุระดูแลกำกับควบคุมบังคับบัญชาเสือป่ากองมณฑลราชบุรี
- พ.ศ.๒๔๕๖ จเรทหารทั่วไป และ จอมพลทหารเรือ ในปีเดียวกัน
- พ.ศ.๒๔๖๑ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นกองเอกพิเศษ กรมเสือป่าพรานหลวง รักษาพระองค์
- พ.ศ.๒๔๖๓ ผู้กำกับราชการกระทรวงทหารเรือ (ถึงปี ๒๔๖๖ ทรงพ้นจาก ตำแหน่งผู้กำกับราชการ กระทรวงทหารเรือ คงรับราชการในตำแหน่งจเรทหารทั่วไปตำแหน่งเดียว)
- พ.ศ.๒๔๖๘ อภิรัฐมนตรี
ราชการ และตำแหน่งพิเศษ
- ราชทูตพิเศษ เสด็จประเทศญี่ปุ่น และยุโรป ในสมัยรัชกาลที่ ๕
- ราชองครักษ์ ในรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖
- พ.ศ.๒๔๓๐ องคมนตรี
- พ.ศ.๒๔๕๒ ผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารราบที่ ๔
- พ.ศ.๒๔๕๖ นายทหารพิเศษ กรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร.
- พ.ศ.๒๔๖๓ นายทหารพิเศษ กรมทหารม้า นครราชสีมาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี และ
เป็น นายทหารพิเศษ กรมทหารม้า กรุงเทพฯ รักษาพระองค์ ว.ป.ร.
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญที่ได้รับพระราชทาน
- พ.ศ.๒๔๑๒ นพรัตน์ราชวราภรณ์
- พ.ศ.๒๔๑๖ ปฐมจุลจอมเกล้า
- พ.ศ.๒๔๒๓ ประถมาภรณ์มงกุฎ
- พ.ศ.๒๔๒๔ ประถมาภรณ์ช้างเผือก
- พ.ศ.๒๔๒๕ มหาจักรีบรมราชวงศ์
- พ.ศ.๒๔๓๖ เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการในพระองค์และเข็มราชการแผ่นดิน และเหรียญจักรมาลา
- พ.ศ.๒๔๔๓ ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ
- พ.ศ.๒๔๔๔ เหรียญบุษปมาลา และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๕ ชั้น ๑
- พ.ศ.๒๔๔๗ เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๕ ชั้น ๒
- พ.ศ.๒๔๕๒ ดาราปฐมจุลจอมเกล้า ประดับเพชร
- พ.ศ.๒๔๕๓ เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๖ ชั้น ๑
- พ.ศ.๒๔๕๕ ตรารัตนวราภรณ์
- พ.ศ.๒๔๕๖ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
- พ.ศ.๒๔๖๑ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ ๑
- พ.ศ.๒๔๖๓ มหาวชิรมงกุฎ และมหาจักรีบรมราชวงศ์ประดับเพชร
- พ.ศ.๒๔๖๙ เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๗ ชั้น ๑ (ทรงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญต่างประเทศอีกจำนวนมาก)
ผลงานที่สำคัญ
- เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งผู้แทนผู้บัญชาการกรมทหารทั่วไป เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ (ขณะนั้น
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เป็น ผู้บัญชาการทหารทั่วไป มีพระชันษาเพียง ๑๑ ปี ) ทรงรับพระบรมราชโองการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- การตั้งข้อพระราชบัญญัติสำหรับการฝึกหัดทหาร เพื่อให้นายทหาร และ พลทหารปฏิบัติได้ถูกต้องตามแบบแผน และตามกาลสมัย
- การตั้งข้อพระราชบัญญัติสำหรับทหาร ในการปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองเพิ่มเติมจากพระราชกำหนดกฎหมายสำหรับกรมทหาร
- การตั้งโรงเรียนทหาร คือ โรงเรียนทหารสราญรมย์ เพื่อให้เป็นสถานที่ฝึกหัด นักเรียนทหาร โดยตั้งข้อบังคับสำหรับโรงเรียนทหาร เรียกว่า บัญญัติ โรงเรียนทหารสราญรมย์
- การตั้งพระราชบัญญัติแก้ไขธรรมเนียมกำหนดอายุคนที่รับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๓๑ และพระราชบัญญัติสำหรับกรมทหาร พ.ศ.๒๔๓๑